1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. เข้าใจ Nofollow Link คืออะไร และสำคัญกับการทำ SEO อย่างไร
Nofollow Link
เผยแพร่เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2024 | แก้ไขเมื่อ: มีนาคม 26, 2025

เข้าใจ Nofollow Link คืออะไร และสำคัญกับการทำ SEO อย่างไร

Table Of Contents

ถ้าคุณกำลังเรียนรู้หรือเพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการทำ SEO (Search Engine Optimization) คุณจะพบได้ว่าองค์ประกอบในการทำ SEO ให้สำเร็จมีอยู่เยอะมาก ซึ่งรวมถึงเรื่องของการทำ Backilink ด้วยเช่นกัน Backlink คือวิธีทำ SEO จากภายนอกเว็บไซต์ โดยการทำให้เว็บไซต์อื่น ๆ ส่งลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา และทำให้ Google รับรู้ว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพจนถูกนำไปอ้างอิงหรือได้รับการยอมรับ แต่ลิงก์ที่ส่งมาก็จะมีทั้ง Dofollow Link และ Nofollow Link ก่อนหน้านี้ ANGA จะอธิบายไปแล้วว่า Dofollow Link คืออะไร ดังนั้น บทความนี้เราจึงจะพาคุณไปเจาะลึกเรื่อง Nofollow Link กันบ้าง มาติดตามอ่านและคลายข้อสงสัยไปพร้อม ๆ กันได้เลย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO อยู่ก็ตาม

Nofollow Link คืออะไร

Nofollow Link คือลิงก์ที่มีการกำหนดคุณสมบัติพิเศษผ่านแอตทริบิวต์ rel=”nofollow” ในโค้ด HTML เพื่อบอกกับเครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google ว่าไม่ต้องส่งต่อค่าความน่าเชื่อถือหรือ PageRank ไปยังเว็บไซต์ปลายทาง แม้ผู้ใช้งานสามารถคลิกลิงก์เหล่านี้ได้ตามปกติ แต่ลิงก์เหล่านี้จะไม่มีผลในการช่วยให้เว็บไซต์ปลายทางติดอันดับในผลการค้นหาแบบทางตรง ซึ่ง Google เริ่มนำ Nofollow มาใช้ในช่วงปี 2005 เพื่อแก้ปัญหาการสแปมลิงก์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในช่วงเวลานั้น

ตัวอย่างโค้ด Nofollow Link

<a href=”https://www.example.com” rel=”nofollow”>ลิงก์ตัวอย่าง</a>

หลักการทำงานของ Nofollow Link ค่อนข้างตรงไปตรงมา โดย Googlebot จะอ่านค่าแอตทริบิวต์ Nofollow และใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจว่าจะส่งต่อค่าความน่าเชื่อถือไปยังเว็บไซต์ปลายทางหรือไม่ ที่น่าสนใจคือแม้ว่า Nofollow Link จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่การมีลิงก์ประเภทนี้ผสมผสานอยู่ในโปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์กลับช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของ Search Engine ได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นเราจึงควรมี Backlink แบบ Nofollow Link ด้วย ไม่ใช่ Dofollow อย่างเดียว

Nofollow Link ต่างกับ Dofollow Link อย่างไร

Dofollow Link คือลิงก์มาตรฐานที่เชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์ปกติทั่วไป โดยไม่มีคำสั่งพิเศษใด ๆ ในโค้ด HTML อย่าง Nofollow Link เมื่อ Googlebot พบลิงก์ประเภทนี้ จะถือว่าเป็นการโหวตให้กับเว็บไซต์ปลายทาง และส่งต่อค่าความน่าเชื่อถือหรือ “Link Juice” ไปให้ Dofollow Link จึงมีผลช่วยให้เว็บไซต์ปลายทางได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา โดยปกติลิงก์ทั้งหมดจะเป็น Dofollow โดยอัตโนมัติ เว้นแต่จะมีการกำหนดเป็นอย่างอื่น

สรุปความแตกต่าง

  • Dofollow Link ส่งผลบวกต่ออันดับ SEO ขณะที่ Nofollow Link แทบไม่มีผลโดยตรง
  • Dofollow Link เป็นการรับรองคุณภาพของเว็บปลายทาง ส่วน Nofollow Link เป็นเพียงลิงก์เชื่อมโยง ไม่ได้ต้องการรับรองหรือส่งต่อค่าพลัง SEO ไปยังเว็บไซต์ปลายทาง
  • Dofollow Link มักใช้เชื่อมโยงกับเว็บที่เรามั่นใจในคุณภาพ ส่วน Nofollow Link ใช้กับลิงก์โฆษณา ลิงก์ในแพลตฟอร์ม Social Media หรือลิงก์ในคอมเมนต์
  • ทั้ง Dofollow Link และ Nofollow Link สามารถนำผู้เข้าชมมาสู่เว็บไซต์ได้เหมือนกัน

Nofollow Link สำคัญกับ SEO อย่างไรบ้าง

บางคนอาจจะเข้าใจว่า Nofollow Link ไม่ได้ช่วยอะไรในการผลักดันอันดับ หรือเพิ่มประสิทธิภาพ SEO เลย จริง ๆ แล้ว Nofollow Link ช่วยเสริมพลังให้ SEO ได้แบบอ้อม ๆ เพราะการมี Nofollow Link เข้ามาที่เว็บไซต์อย่างเป็นธรรมชาติ (อาจจะมาจากโพสต์บน Facebook หรือตามคอมเมนต์ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ) ตรงนี้จะเป็นสัญญาณในการทำให้ Google รู้ว่ามีคนกล่าวถึงหรือรับรองเว็บไซต์ของเรา ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเราดูน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกนิด และมีส่วนทำให้อันดับสูงขึ้นได้ถึงแม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตาม แถมยังช่วยเพิ่ม Traffic อีกด้วย ทั้งนี้ Google มีปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณานำเว็บไซต์ไปจัดอันดับอีกมาก อาทิ คุณภาพของเนื้อหา โครงสร้างเว็บไซต์ ความเร็วเว็บไซต์ ฯลฯ

ลิงก์จากแหล่งไหนเป็น Nofollow Link บ้าง

  • ลิงก์จาก Social Media ทั้งหมด เช่น Facebook, Instagram, X (Twitter), Pinterest และ LinkedIn ตั้งค่าลิงก์เป็น Nofollow เพื่อป้องกันการสแปม
  • วิกิพีเดียและเว็บสารานุกรมออนไลน์ กำหนดให้ลิงก์ภายนอก (External Link) ทั้งหมดเป็น Nofollow Link เพื่อรักษาความเป็นกลาง
  • เว็บไซต์ข่าวและเว็บไซต์สื่อชั้นนำ
  • ลิงก์ในประวัติส่วนตัวและลายเซ็น บนฟอรั่มและเว็บไซต์ต่าง ๆ 
  • เว็บฝากประกาศและลงโฆษณาฟรี
  • เว็บบอร์ดและเว็บชุมชน อย่าง Pantip, Reddit และ Quora
  • ความคิดเห็นบนบล็อกและเว็บไซต์ส่วนใหญ่ถูกตั้งค่าเป็น Nofollow เพื่อป้องกันการสแปมลิงก์
  • ลิงก์ในเนื้อหาโฆษณาและสปอนเซอร์ ตามแนวทางของ Google ควรใส่ rel=”nofollow” หรือ rel=”sponsored”
  • ลิงก์แนะนำสินค้าแบบ Affiliate Link ที่มีการจ่ายค่าคอมมิชชั่น ควรตั้งเป็น Nofollow

ควรใช้ Nofollow Link ในกรณีไหนบ้าง

  1. การจัดการลิงก์ภายในเว็บไซต์ตัวเอง

หน้าเว็บบางประเภทก็ไม่จำเป็นต้องติดอันดับ อย่างหน้าติดต่อเรา หน้าสมัครสมาชิก หน้านโยบายความเป็นส่วนตัว หรือหน้าข้อกำหนดการใช้งาน การใส่ Nofollow ช่วยบอก Google ว่าไม่ต้องให้ความสำคัญกับหน้าเหล่านี้ในการจัดอันดับ

  1. การจัดการลิงก์ภายนอกที่ปรากฏซ้ำในทุกหน้า

ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีการวางแบนเนอร์หรือลิงก์ในส่วน Header หรือ Footer และมันจะไปปรากฏในทุกหน้าเว็บไซต์ การใส่ Nofollow จะช่วยป้องกันปัญหาการสแปมลิงก์ได้ เพราะถ้าเว็บไซต์มี 1,000 หน้า ก็จะเท่ากับมีลิงก์ไปยังเว็บไซต์นั้น 1,000 ลิงก์ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของทั้งสองฝ่ายได้นั่นเอง

สอนวิธีเช็ก Nofollow Link บนเว็บไซต์

Nofollow Link สามารถเช็กได้หลายวิธี ตั้งแต่วิธีง่าย ๆ อย่างการคลิกขวาและดู Inspect, การใช้ Extensions หรือส่วนขยายบนเบราว์เซอร์ และการใช้เครื่องมือ SEO มาช่วยตรวจสอบ ดังนี้

  1. วิธีที่ 1 คลิกขวา > Inspect
  • คลิกขวาที่ลิงก์ที่ต้องการตรวจสอบ
  • เลือก “ตรวจสอบ” หรือ “Inspect Element”
  • ดูโค้ด HTML ถ้ามี rel=”nofollow” อยู่ในแท็ก <a> แสดงว่าเป็น Nofollow Link
  1. วิธีที่ 2 ใช้ Extensions
  • ติดตั้งส่วนขยาย เช่น “NoFollow” หรือ “SEO Minion” สำหรับ Chrome หรือ Firefox
  • เมื่อเปิดใช้งาน ส่วนขยายจะไฮไลต์หรือทำสัญลักษณ์บนลิงก์ที่เป็น Nofollow โดยอัตโนมัติ
  1. วิธีที่ 3 ใช้เครื่องมือเข้าช่วย
  • เครื่องมืออย่าง Ahrefs, SEMrush หรือ Moz สามารถสแกนเว็บไซต์และรายงานสถานะของลิงก์ทั้งหมดได้
  • ใส่ URL ที่ต้องการตรวจสอบเข้าไป ระบบจะแสดงรายการลิงก์พร้อมระบุว่าเป็น Dofollow หรือ Nofollow

สรุป

Nofollow Link อาจจะไม่ได้ส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์บน Google ขนาดนั้น แต่ก็ช่วยเพิ่ม Traffic ให้มีผู้ใช้งานบนเว็บไซต์เยอะ ๆ ได้ การมี Nofollow Link เข้ามาบ้าง จึงเป็นเรื่องที่ดี ทั้งนี้ หากคุณพบว่า Nofollow Link ที่ได้รับมีมากจนล้นหรือมาจากการส่ง Backlink มาจากเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพ แนะนำให้กำจัดออกไป ผ่านการใช้เครื่องมือ Disavow ของ Google Search Console หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับนักการตลาดที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำ SEO หรือผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่องการทำการตลาดออนไลน์ไม่มากก็น้อย

บทความที่เกี่ยวข้อง

ANGA เปิดรับสมัคร AMC รุ่น 2 (2025)

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องกับโครงการ AMC (ANGA Management Candidates) รุ่น 2 ที่ใคร ๆ หลายคนต่างรอคอย หลังจากที่โครงการ AMC รุ่น 1 ประสบความสำเร็จและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมาก  เพราะเป็นโครงการที
58

Demand Gen คือโฆษณารูปแบบใหม่ที่ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญโฆษณา Google Ads พร้อมเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าด้วย Demand Gen คือรูปแบบโฆษณาที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Discovery Ads โดยการดึงเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้งาน พร้
71

DuckDuckGo คือ Search Engine ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด

อย่างที่เรารู้กันว่า Google เป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แล้วรู้ไหมว่าใครคืออันดับสอง? คำตอบคือ DuckDuckGo นั่นเอง ซึ่ง DuckDuckGo คือ​ Search Engine ที่มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยท
72
th