1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. รู้จักโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) และวิธีการออกแบบ
โครงสร้างเว็บไซต์
เผยแพร่เมื่อ: มกราคม 28, 2025

รู้จักโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) และวิธีการออกแบบ

Table Of Contents

โครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ ซึ่งการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดียังส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ด้วย เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบข้อมูลบนเว็บไซต์และการเชื่อมโยงระหว่างหน้าเว็บเพจเป็นอย่างมาก หากเว็บไซต์ใดมีโครงสร้างที่ชัดเจนและเป็นระเบียบ จะทำให้ Googlebot เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์และจัดหมวดหมู่เว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น ANGA จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องโครงสร้างเว็บไซต์อย่างครอบคลุมแบบครบจบในบทความเดียว ทั้งลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์ รูปแบบ ความสำคัญ พร้อมกับแนะนำวิธีออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปี 2025 ด้วย

โครงสร้างเว็บไซต์คืออะไร

โครงสร้างเว็บไซต์คือแผนผังการจัดการข้อมูลและส่วนประกอบทั้งหมดของเว็บไซต์ที่แสดงให้เห็นว่าแต่ละหน้าเว็บมีเนื้อหาและองค์ประกอบอะไรบ้าง รวมถึงวิธีการเชื่อมโยงระหว่างหน้าต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ การจัดการโครงสร้างที่ดีจะช่วยให้ทั้งผู้ใช้งานและ Google Bot สามารถเข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงสร้างเว็บไซต์จะประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ

  1. การจัดการเนื้อหา เพื่อแสดงว่าแต่ละหน้าเว็บเพจนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีประเด็นสำคัญอะไรบ้าง
  2. การเชื่อมโยงระหว่างหน้าเว็บ เพื่อแสดงวิธีการเชื่อมต่อระหว่างหน้าเว็บเพจต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำทางจากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งได้อย่างสะดวก

ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี

  • มีการจัดหมวดหมู่เนื้อหาอย่างเป็นระบบและชัดเจน
  • ออกแบบลำดับชั้นการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นขั้นตอน
  • สร้างการเชื่อมโยงระหว่างหน้าที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน
  • ใช้โครงสร้างที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินไป
  • มีความสอดคล้องกับเป้าหมายและประเภทของเว็บไซต์

โครงสร้างเว็บไซต์ ตัวอย่าง

โครงสร้างเว็บไซต์

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Slickplan

รู้จักโครงสร้างเว็บไซต์ทั้ง 6 รูปแบบ

โครงสร้างเว็บไซต์ในปัจจุบันจะมีทั้งหมด 6 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีจุดเด่นและเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันเจ้าของเว็บไซต์จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการสร้างเว็บไซต์ จึงจะช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด

1. Sequential Structure

Sequential Structure หรือ Linear Structure เป็นโครงสร้างเว็บไซต์แบบเส้นตรง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการนำเสนอข้อมูลเป็นลำดับขั้นตอน เช่น คอร์สเรียนออนไลน์หรือ e-book โดยผู้ใช้จะต้องเข้าชมเนื้อหาตามลำดับที่กำหนดไว้ผ่านปุ่ม “ถัดไป” หรือ “ย้อนกลับ” ข้อดีคือผู้ใช้สามารถเรียนรู้เนื้อหาได้อย่างเป็นระบบ แต่อาจไม่ยืดหยุ่นสำหรับการค้นหาข้อมูลเฉพาะ

Sequential Structure

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Slickplan

2. Hierarchical Structure

Hierarchical Structure คือโครงสร้างเว็บไซต์แบบลำดับชั้น รูปแบบนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะเหมาะกับเว็บไซต์ทุกขนาด ตั้งแต่เว็บเล็ก ๆ ไปจนถึง e-commerce ขนาดใหญ่ ลักษณะจะคล้ายแผนผังต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านจากหน้าหลักลงไปเป็นหมวดหมู่ย่อยต่าง ๆ ทำให้จัดการข้อมูลได้เป็นระบบและ Google สามารถเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ง่าย

Hierarchical Structure

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Slickplan

3. Grid Structure

Grid Structure เป็นโครงสร้างเว็บไซต์แบบตาราง ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายและต้องการให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้หลายทาง เช่น เว็บไซต์ข่าวหรือบล็อก แต่ละหมวดหมู่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างอิสระ ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่สนใจได้หลายวิธี

4. Web Structure

Web Structure เป็นโครงสร้างเว็บไซต์แบบใยแมงมุมให้อิสระในการเชื่อมโยงเนื้อหามากที่สุด ทุกหน้าสามารถเชื่อมถึงกันได้โดยตรง เหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการนำทาง อย่างไรก็ตามหากมีหน้าเว็บจำนวนมาก อาจทำให้ผู้ใช้สับสนและ Google อาจเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ยาก

5. Hybrid Structure

Hybrid Structure คือโครงสร้างเว็บไซต์แบบผสม โดยจะเป็นการผสมผสานจุดเด่นของโครงสร้างหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน มักใช้โครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchical) เป็นพื้นฐาน แล้วเพิ่มการเชื่อมโยงรูปแบบอื่นตามความเหมาะสม เช่น การใช้โครงสร้างแบบเส้นตรงสำหรับส่วนที่ต้องการนำเสนอข้อมูลเป็นลำดับขั้น หรือเพิ่มการเชื่อมโยงแบบใยแมงมุมในบางส่วนเพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้สะดวกขึ้น โครงสร้างแบบผสมนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีเนื้อหาหลากหลายและต้องการความยืดหยุ่นในการนำเสนอข้อมูล

6. Silo Structure

Silo Structure เป็นโครงสร้างเว็บไซต์แบบไซโล ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO โดยเฉพาะ หลักการสำคัญคือการจัดกลุ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันอย่างชัดเจน และสร้าง Internal Link เฉพาะระหว่างเนื้อหาในกลุ่มเดียวกันเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้ Google เข้าใจความเชื่อมโยงของเนื้อหาได้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของกลยุทธ์ Semantic SEO ที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์ของเนื้อหาอย่างมีความหมาย ส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงในคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

การเลือกใช้โครงสร้างแบบไซโลนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเชิงลึกในแต่ละหมวดหมู่ เช่น เว็บไซต์ข้อมูลเฉพาะทาง บล็อกความรู้ หรือเว็บไซต์ e-commerce ที่แบ่งสินค้าเป็นหมวดหมู่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การทำ Silo Structure ต้องวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่เริ่มต้น เพราะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในภายหลังอาจส่งผลกระทบต่ออันดับ SEO ได้

Silo Structure

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Sitechecker

เว็บไซต์มีกี่รูปแบบ

เมื่อเริ่มต้นออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือรูปแบบของเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน เพราะเว็บไซต์แต่ละรูปแบบจะมีข้อจำกัดและความยืดหยุ่นในการจัดการเนื้อหาที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเลือกใช้โครงสร้างเว็บไซต์และการวางแผนพัฒนาเว็บไซต์ในระยะยาว โดยรูปแบบของเว็บไซต์หลัก ๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

  1. Static Website เป็นเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นด้วยภาษา HTML พื้นฐาน เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดเล็กที่มีจำนวนหน้าไม่มากและไม่ต้องการปรับเปลี่ยนเนื้อหาบ่อย เช่น เว็บไซต์แนะนำองค์กร เว็บไซต์ประวัติส่วนตัว หรือเว็บไซต์ Portfolio ข้อมูลถูกจัดเก็บในรูปแบบไฟล์ .html แยกเป็นแต่ละหน้า การแก้ไขเนื้อหาจำเป็นต้องเข้าไปแก้ไขโค้ด HTML โดยตรง
  2. Dynamic Website เป็นเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ มีระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถปรับปรุงข้อมูลได้สะดวกผ่านหน้าจัดการระบบ โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ด HTML เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาจำนวนมาก เช่น เว็บข่าว บล็อก หรือเว็บ E-commerce เนื้อหาจะถูกจัดเก็บในฐานข้อมูลและดึงมาแสดงผลตามความต้องการ

static website vs dynamic website

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Zesty

โครงสร้างเว็บไซต์สำคัญอย่างไร

การวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์มีรากฐานที่แข็งแรง ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราสามารถจัดการเนื้อหาได้อย่างเป็นระบบเท่านั้น แต่ยังส่งผลที่ดีต่อ User Experience (ประสบการณ์การใช้งาน) และ Core Web Vitals ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google การจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย

มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน

การจัดวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระบบช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ส่งผลให้ผู้ใช้มีความพึงพอใจและมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการซ้ำ จากผลการวิจัยพบว่าเว็บไซต์ที่มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) ได้สูงถึง 400% เพราะเมื่อผู้ใช้รู้สึกประทับใจ พวกเขามักจะแนะนำต่อและมีโอกาสกลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีในท้ายที่สุด

เพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO

โครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระเบียบทำให้ Googlebot สามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนแผนที่ที่ช่วยให้ Bot สำรวจและจัดทำดัชนีข้อมูลได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ การจัดหมวดหมู่เนื้อหาที่เป็นระบบยังช่วยในการกระจายค่าความน่าเชื่อถือ (Authority) ระหว่างหน้าเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีโอกาสติดอันดับการค้นหาที่ดีขึ้นนั่นเอง

ปรับปรุง Core Web Vitals

โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของ Core Web Vitals ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Google ทั้งการจัดการลิงก์และการโหลดข้อมูลที่เป็นระบบช่วยให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น ช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และสนับสนุนการแสดงผลที่เสถียรบนทุกอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและไม่สะดุด

องค์ประกอบของโครงสร้างเว็บไซต์ มีอะไรบ้าง

  • หน้าหลัก (Homepage) เป็นหน้าแรกที่ผู้ใช้จะพบเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ แสดงภาพรวมของเว็บไซต์และจุดเด่นที่สำคัญ พร้อมกับมีเมนูนำทางไปยังส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์
  • เมนูนำทาง (Navigation Menu) เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาต่างๆ  ภายในเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก โดยควรมีการจัดหมวดหมู่ที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และรองรับการแสดงผลบนทุกอุปกรณ์
  • หน้าเนื้อหา (Content Pages) เป็นส่วนที่นำเสนอข้อมูลหลักของเว็บไซต์ โดยมีการแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามประเภทของเนื้อหา และมีการเชื่อมโยงระหว่างหน้าที่มีความเกี่ยวข้องกัน
  • ส่วนท้ายเว็บ (Footer) เป็นพื้นที่สำหรับรวบรวมลิงก์สำคัญ ข้อมูลการติดต่อ ลิขสิทธิ์ นโยบายต่าง ๆ และอาจมีแผนผังเว็บไซต์แบบย่อเพื่อช่วยในการนำทาง
  • การเชื่อมโยงภายใน (Internal Link) คือการสร้างลิงก์เชื่อมต่อระหว่างหน้าต่างๆ  ภายในเว็บไซต์ ช่วยในการกระจายค่าความน่าเชื่อถือและสร้างเส้นทางการนำทางที่เป็นธรรมชาติสำหรับผู้ใช้
  • แผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) เป็นเอกสารที่แสดงโครงสร้างทั้งหมดของเว็บไซต์ มีทั้งรูปแบบ HTML สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป และ XML สำหรับเครื่องมือค้นหา ช่วยให้ทั้งผู้ใช้และ Googlebot เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น

วิธีออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้ดีต่อ SEO

  1. จัดหมวดหมู่เนื้อหาอย่างเป็นระบบ การแบ่งเนื้อหาเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนช่วยให้ทั้งผู้ใช้และ Googlebot เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ควรจัดกลุ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกันและสร้างลำดับชั้นที่มีความหมาย
  2. ออกแบบ URL ให้เป็นมิตร โครงสร้าง URL ควรสั้น กระชับ และสื่อความหมาย โดยใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขหรือตัวอักษรที่ไม่มีความหมาย เพื่อให้ทั้งผู้ใช้และ Search Engine เข้าใจเนื้อหาได้ทันที
  3. สร้างระบบนำทางที่ใช้งานง่าย ผู้ใช้ควรสามารถเข้าถึงหน้าสำคัญได้ภายใน 3 คลิกจากหน้าแรก มีเมนูที่ชัดเจนและ Breadcrumb เพื่อบอกตำแหน่งปัจจุบัน ทำให้การท่องเว็บเป็นไปอย่างราบรื่น
  4. เชื่อมโยงเนื้อหาด้วย Internal Link การสร้างการเชื่อมโยงระหว่างหน้าที่เกี่ยวข้องช่วยกระจายค่า Authority และทำให้ผู้ใช้ค้นพบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น ควรใช้ Anchor Text ที่มีความหมายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาปลายทาง
  5. ทำ XML Sitemap ให้สมบูรณ์ Sitemap ช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และค้นพบหน้าใหม่ได้รวดเร็วขึ้น ควรอัปเดต Sitemap เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสำคัญ
  6. ทำให้เว็บไซต์รองรับการแสดงผลบนมือถือ โครงสร้างเว็บไซต์ต้องแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะมือถือ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับ Mobile-First Indexing เนื้อหาและเมนูควรปรับขนาดอัตโนมัติและใช้งานได้สะดวกบนหน้าจอขนาดเล็ก
  7. ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา หลีกเลี่ยงการสร้างหน้าที่มีเนื้อหาคล้ายกันหรือซ้ำกัน หากจำเป็นต้องมีเนื้อหาที่คล้ายกัน ควรใช้ Canonical Tag เพื่อระบุหน้าหลักที่ต้องการให้ Google จัดทำดัชนี
  8. ออกแบบโครงสร้างให้โหลดเร็ว จัดวางองค์ประกอบและไฟล์ต่าง ๆ ให้เว็บไซต์โหลดได้อย่างรวดเร็ว ใช้เทคนิคการ Lazy Loading สำหรับรูปภาพ และจัดการ Cache อย่างเหมาะสม เพราะความเร็วในการโหลดเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ
  9. สร้างโครงสร้างข้อมูลที่มีความหมาย ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและบริบทของข้อมูลได้ดีขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการแสดงผลพิเศษใน SERP เช่น Rich Snippets หรือ Featured Snippet

เว็บไซต์ เว็บเพจ โฮมเพจ มีความแตกต่างกันอย่างไร

ในการสร้างเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ เราควรเข้าใจความแตกต่างระหว่างองค์ประกอบพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ เว็บเพจ และโฮมเพจ เพราะแต่ละส่วนมีบทบาทและความสำคัญที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจแต่ละส่วนกันดีกว่า

  • เว็บไซต์ (Website) การรวมตัวกันของเว็บเพจหลาย ๆ หน้าภายใต้โดเมนเดียวกัน
  • เว็บเพจ (Web Page) หน้าเอกสารเดี่ยวที่สร้างด้วยภาษา HTML และแสดงผลผ่านเบราว์เซอร์
  • โฮมเพจ (Homepage) หน้าแรกที่ผู้ใช้งานมองเห็นเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ เป็นเหมือนหน้าปกที่แสดงภาพรวม จุดเด่นของเว็บไซต์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือหน้าร้านของเรา

สรุป

สรุปได้ว่าโครงสร้างเว็บไซต์ก็คือจุดเริ่มต้นและรากฐานสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา ยิ่งถ้าคุณมีการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีร่วมด้วย เว็บไซต์ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในแง่ของการแสดงผล การจัดการ และรวมไปถึง SEO ด้วย ซึ่งจะโยงไปสู่การเติบโตของเว็บไซต์และธุรกิจบนโลกออนไลน์เช่นกัน อย่างไรก็ตามหากคุณมองว่าการสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองมันยากจนเกินไป หรือภายในองค์กรไม่ได้มีพนักงานที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือการจ้างทำเว็บไซต์  และถ้าคุณไม่รู้ว่าจะไปหาบริษัทรับทำเว็บไซต์ที่มีบริการรับทำ SEO ร่วมด้วยที่ไหนดี สามารถปรึกษา ANGA ได้ เพราะเราคือดิจิทัลเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง

บทความที่เกี่ยวข้อง

ANGA เปิดรับสมัคร AMC รุ่น 2 (2025)

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องกับโครงการ AMC (ANGA Management Candidates) รุ่น 2 ที่ใคร ๆ หลายคนต่างรอคอย หลังจากที่โครงการ AMC รุ่น 1 ประสบความสำเร็จและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมาก  เพราะเป็นโครงการที
58

Demand Gen คือโฆษณารูปแบบใหม่ที่ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญโฆษณา Google Ads พร้อมเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าด้วย Demand Gen คือรูปแบบโฆษณาที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Discovery Ads โดยการดึงเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้งาน พร้
71

DuckDuckGo คือ Search Engine ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด

อย่างที่เรารู้กันว่า Google เป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แล้วรู้ไหมว่าใครคืออันดับสอง? คำตอบคือ DuckDuckGo นั่นเอง ซึ่ง DuckDuckGo คือ​ Search Engine ที่มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยท
72
th