1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. ทำความเข้าใจกับ E-Commerce
เผยแพร่เมื่อ: มีนาคม 9, 2022 | แก้ไขเมื่อ: เมษายน 28, 2023

ทำความเข้าใจกับ E-Commerce

Table Of Contents

E-Commerce คือการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะทำธุรกิจใดก็ล้วนต้องปรับตัวมาทำธุรกิจ E-Commerce กันทั้งนั้น เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ไม่ว่าจะซื้อสินค้าอะไรก็ต้องเสิร์ชหาข้อมูลในอดีตก่อน ถ้าหากธุรกิจของคุณไม่ทำ E-Commerce ก็จะทำให้สูญเสียโอกาสเป็นจำนวนมาก

แล้ว E-Commerce คืออะไร? ใช่เว็บไซต์ที่สามารถสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินอย่างเดียวหรือเปล่า ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักการทำธุรกิจ E-Commerce ในทุกแง่มุม พร้อมแนะนำช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ได้ผล จะน่าสนใจแค่ไหน ไปดูกัน

e-commerce

ความหมายของคำว่า “E-Commerce”

การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) หรือ E-Commerce คือ การทำธุรกิจบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด เช่น เครือข่ายคอมพิวเตอร์ สื่อโซเชียลมีเดีย หรืออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การขาย การให้บริการ การชำระเงิน การแลกเปลี่ยนสินค้า หรือการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ล้วนนับเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ E-Commerce ทั้งนั้น

ประเภทของการทำ E-Commerce

การทำธุรกิจ E-Commerce แบ่งเป็น 6 ประเภท ดังนี้

  1. – ผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ (Business to Business) หรือ “B2B” คือ การค้าระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเอง มักอยู่ในรูปแบบการขายส่ง หรือการสั่งซื้อในระบบ Supply Chain Management (SCM)
  2. – ผู้ประกอบการกับผู้บริโภค (Business to Consumer) หรือ “B2C” คือ การค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าโดยตรง เป็นการซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่สามารถพบได้ทั่วไป เช่น ซื้อเสื้อผ้า ซื้ออาหาร หรือซื้อรองเท้า เป็นต้น
  3. – ผู้ประกอบการกับภาครัฐ (Business to Government) หรือ “B2G” คือ การค้าระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ มักเกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเอง
  4. – ผู้บริโภคกับผู้บริโภค (Consumer to Consumer) หรือ “C2C” คือ การค้าขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง เช่น การขายสินค้ามือสอง
  5. – ภาครัฐกับประชาชน (Government to Consumer) หรือ “G2C” คือ การบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้กับประชาชน เช่น การคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการให้ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต
  6. – ภาครัฐกับภาครัฐ (Government to Government) หรือ “G2G” คือ การติดต่อระหว่างหน่วยงานภายในรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารใน หรือระหว่างกระทรวง

ช่องทางการทำ E-Commerce ที่ได้ผล

ในปัจจุบันมีช่องทางการทำ E-Commerce หลายช่องทางที่ได้รับความนิยม และมีมูลค่าทางการตลาดมาก เช่น การทำเว็บไซต์, Social Commerce หรือ Marketplace ซึ่งแต่ละช่องทางเปรียบเสมือนหน้าร้านออนไลน์ของธุรกิจ มีจุดอ่อนจุดแข็งที่แตกต่างกันไป ซึ่งผู้ประกอบการสามารถทำ E-Commerce ช่องทางใดช่องทางหนึ่ง หรือทำทุกช่องทางพร้อมกันก็ได้

1.ทำเว็บไซต์ E-Commerce สร้างตัวตนในโลกออนไลน์

การทำเว็บไซต์ E-Commerce คือการสร้างเว็บไซต์สำหรับขายสินค้ากับผู้บริโภคโดยตรง ข้อดีของการสร้างเว็บไซต์ ผู้ประกอบการจะเป็นเจ้าของเว็บไซต์ 100% สามารถปรับเปลี่ยน หรือออกแบบเว็บไซต์ได้ตามใจชอบ มีความมั่นคงสูง แต่อย่างไรก็ตาม การทำเว็บไซต์ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างถึงจะประสบความสำเร็จ เช่น การทำ SEO การโปรโมตเว็บไซต์ หรือการออกแบบเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายในช่วงแรกที่ค่อนข้างสูง และจะต้องปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ

2.เจาะกลุ่มผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียด้วย Social Commerce

Social Commerce คือการซื้อขายสินค้าผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter หรือ LINE ซึ่งสามารถทำได้ทั้งใน Personal Account และ Official Account โดยข้อดีของการทำ E-Commerce ผ่านโซเชียลมีเดีย คือ มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นช่องทางที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย สามารถพูดคุยโต้ตอบกันได้ทันที และมีต้นทุนไม่สูงมาก อย่างไรก็ตาม การทำ Social Commerce ผู้ประกอบการจะไม่ได้เป็นเจ้าของเพจ หรือ Account ID 100% จึงทำให้อาจถูกปิดกั้นจากผู้ให้บริการเมื่อไรก็ได้

สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานการสร้างหน้าร้านบนโซเชียลมีเดีย หรือไม่รู้จะโปรโมตหน้าร้านให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างไรดี การใช้บริการบริษัทที่เชี่ยวด้านการทำโฆษณาบนโชเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น การรับทำโฆษณา Facebook, Instagram หรือ Twitter ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้วางรากฐานการทำ E-Commerce บนโซเชียลมีเดียได้อย่างมั่นคง

3.วางขายสินค้าบนตลาดกลางออนไลน์ Marketplace

Marketplace คือ เว็บไซต์ที่เป็นตลาดกลางให้คนมาซื้อขายสินค้า เช่น Shopee, Lazada หรือ JD Central มีข้อดีคือ มีความน่าเชื่อถือ มีระบบซื้อขายสินค้าที่สะดวก และกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้งานส่วนใหญ่จะมีความตั้งใจซื้ออยู่แล้ว จึงทำให้มีโอกาสปิดการขายได้ง่ายกว่าช่องทางอื่น ๆ  แต่การขายสินค้าผ่าน Marketplace จะต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี หรือส่วนแบ่งยอดขายให้กับผู้ให้บริการ และมีการแข่งขันที่สูงที่สุด เมื่อเทียบกับช่องทาง E-Commerce อื่น ๆ

กลยุทธ์การทำตลาด E-Commerce ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

ด้วยมูลค่าธุรกิจ E-Commerce ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้มีธุรกิจจำนวนมากหันมาทำ E-Commerce ส่งผลให้การแข่งขันในท้องตลาดมีความเข้มข้นมากขึ้น แค่ขายสินค้ามีคุณภาพอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การทำการตลาดออนไลน์จึงมีบทบาทสำคัญที่เข้ามาช่วยให้ธุรกิจ E-Commerce เป็นที่รู้จักกับกลุ่มลูกค้า สร้างความสนใจ และเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกิจ E-Commerce ประสบความสำเร็จ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการทำการตลาดออนไลน์ที่ทรงประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมในปัจจุบัน มีดังนี้

1.Search Engine Optimization (SEO)

หลายคนอาจคุ้นหูกับคำว่า SEO แต่ยังไม่รู้ว่า SEO คืออะไร SEO ก็คือการปรับปรุงเว็บไซต์แบบองค์รวม โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าเสิร์ชเอนจิน (Search Engine) มากที่สุด โดยเฉพาะเสิร์ชเอนจินที่ได้รับความนิยมอย่าง Google ทำให้เวลาผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลบน Google จะพบเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ ช่วยเพิ่มโอกาสในการที่ผู้ใช้งานจะเข้าชมเว็บไซต์ เข้าถึงสินค้า และปิดการขายสินค้ามากขึ้น

2.Google Ads

Google Ads คือ การทำโฆษณาผ่านเครือข่ายออนไลน์ของ Google ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานหลักล้านต่อวัน ทำให้เพิ่มโอกาสในเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยบริการ Google Ads มีหลายแบบ เช่น การซื้อโฆษณาบน Google Search หรือที่เรียกว่า “SEM” การซื้อแบนเนอร์โฆษณาในเว็บไซต์ต่างๆ อย่าง Google Display Network (GDN) หรือการซื้อโฆษณาบน Youtube Ads เป็นต้น

3.Social Media Marketing (SMM)

การทำ SMM คือ การซื้อโฆษณาบนสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter หรือ Line ซึ่งเป็นสื่อโซเชียลมีเดียที่มีจำนวนผู้ใช้งานจำนวนมาก และแต่ละสื่อโซเชียลมีเดียจะมีผู้ใช้งานที่มีลักษณะแตกต่างกัน โดยการทำ SMM จะเจาะกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ สามารถช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ (Engagement) ได้ง่ายกว่าช่องทางอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังสามารถใช้เสริมการทำ SEO และ Google Ads โดยการทำโฆษณาเชิญชวนให้ผู้พบเห็นคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ (Website Clicks) ซึ่งช่วยโปรโมตเว็บไซต์เป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น และทำให้การจัดอันดับดีขึ้นด้วย

4.Content Marketing

Content Marketing คือ การสร้างคอนเทนต์เพื่อโปรโมตธุรกิจ หรือกระตุ้นยอดขาย อาจเป็นการให้ความรู้ หรือบอกรายละเอียดของสินค้าก็ได้ มีหลายรูปแบบ เช่น บทความ อินโฟกราฟิก คลิปวิดีโอ หรือพอดแคสต์ โดยจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ หรือสื่อโซเชียลมีเดียของธุรกิจก็ได้ การทำ Content Marketing ที่ดีนั้น นอกจากจะต้องดึงดูดน่าสนใจแล้ว เนื้อหาที่ออกไปจะต้องมีคุณค่าและสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้าด้วย จัดเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การทำตลาด E-Commerce ที่ช่วยเพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

5.Influencer Marketing

การทำ Influencer Marketing คือ การจ้างผู้มีอิทธิพลบนโลกอินเทอร์เน็ตมาช่วยโปรโมตสินค้าหรือธุรกิจของเรา ซึ่งจะช่วยให้สินค้ามีภาพลักษณ์ที่ดี ดูน่าสนใจ และการที่บุคคลมีชื่อเสียงใช้สินค้าก็จะทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือในตัวสินค้ามากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การทำ Influencer Marketing จะต้องเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์อย่างระมัดระวัง ต้องเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย สามารถผลิตงานได้อย่างมีคุณภาพ และมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสินค้า

6.Affiliate Marketing

การทำ Affiliate Marketing จะมีความคล้ายคลึงกับ Influencer Marketing ตรงที่ใช้ตัวกลางในโลกออนไลน์ในการโปรโมต หรือรีวิวสินค้า แต่แตกต่างกันตรงที่การทำ Affiliate Marketing ไม่จำเป็นต้องใช้ Influencer แต่เป็นเพียง Publisher หรือผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั่วไปก็ได้ โดยจะเป็นการโฆษณาเชิญชวนให้ผู้ติดตามซื้อสินค้าผ่านการกดลิงก์ที่นำไปสู่หน้าช้อป ซึ่งจะตอบแทนด้วยค่าคอมมิชชั่นที่จะได้รับก็ต่อเมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้า หรือกรอกใบสมัครผ่านลิงก์นั้น ๆ

สรุปการทำ E-Commerce กับช่องทางการค้าที่ทุกธุรกิจควรให้ความสำคัญ

การทำ E-Commerce เป็นโอกาสที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้สินค้า หรือบริการของคุณเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ช่วยขยายฐานลูกค้าได้มากกว่าการทำธุรกิจออฟไลน์เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจ E-Commerce ให้ประสบผลสำเร็จ จะต้องทำการตลาดอย่างถูกหลัก เลือกช่องทางโฆษณาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และสร้างคอนเทนต์ที่สามารถเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้จริง

บทความที่เกี่ยวข้อง

Organic Traffic คืออะไร พร้อมวิธีเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์

Web Traffic คือผู้เข้าชมเว็บไซต์ ที่มีความสำคัญมาในการทำให้เว็บไซต์เติบโตและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Traffic มาได้จากหลายช่องทาง อาทิ Paid, Direct, Social Media, Referral และ Organic Traffic แต่ Traf
53

Breadcrumb Navigation ป้ายนำทางบนเว็บไซต์ ที่ส่งผลดีต่อ SEO

เว็บไซต์ส่วนใหญ่มีหน้าเว็บและข้อมูลเยอะมาก อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรู้สึกสับสนและหลงทางได้ การมีตัวช่วยนำทางบนเว็บไซต์หรือ Breadcrumb Navigation ติดตั้งไว้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับ
53

รู้จัก DeepSeek AI เอไอสัญชาติจีนที่กำลังมาแรงในตอนนี้

ต้องบอกว่าในปี 2025 นี้ แพลตฟอร์ม AI เติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลายด้านได้อีกด้วย คุณสามารถใช้ AI ในการทำงานแทน อย่างเขียนบทความ สรุปข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ค้นหาข้อมูล เขี
53
th