1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. Collaboration Marketing กลยุทธ์การตลาดที่ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย
Collaboration Marketing
เผยแพร่เมื่อ: ธันวาคม 31, 2024

Collaboration Marketing กลยุทธ์การตลาดที่ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย

Table Of Contents

การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์หรือ Collaboration Marketing คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงเช่นนี้ หลาย ๆ แบรนด์จึงตัดสินใจจับมือร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์สินค้าหรือแคมเปญใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการนำจุดแข็งและความเชี่ยวชาญของแต่ละฝ่ายมาผสมผสานกัน เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ANGA จึงขอพาคุณมาทำความรู้จักกับกลยุทธ์การตลาดที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตแบบ Win-Win ทั้งสองฝ่าย หรือ Collab Marketing ผ่านบทความนี้

Collaboration Marketing คืออะไร

Collaboration Marketing คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง 2 แบรนด์ โดยมีเป้าหมายในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้า บริการ หรือสร้างแคมเปญทางการตลาดขึ้นมา ซึ่งจะอาศัยการผสมผสานจุดเด่นและความเชี่ยวชาญของแต่ละแบรนด์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับผู้บริโภค รวมถึงเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจและฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน

Collaboration Marketing คือ

Collab Marketing มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร

การทำ Collaboration Marketing คือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีการวัดผลที่ชัดเจน โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคต้องการความแปลกใหม่และมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น การจับมือกับพันธมิตรจึงเป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย

การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์เปรียบเสมือนการแลกเปลี่ยนฐานลูกค้าซึ่งกันและกัน ทำให้แต่ละแบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพได้ง่ายขึ้น เนื่องจากลูกค้าของอีกแบรนด์มีโอกาสรู้จักและทดลองใช้สินค้าของเราผ่านการทำ Collab Marketing ส่งผลให้มีโอกาสในการขายสินค้าของแบรนด์เพิ่มขึ้นด้วย

สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า

สินค้าที่เกิดจากการ Collaboration มักมีความพิเศษและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะการออกคอลเลคชันแบบ Limited Edition ที่มีจำนวนจำกัด ทำให้สามารถตั้งราคาขายได้สูงกว่าสินค้าทั่วไป และยังเป็นที่ต้องการในกลุ่มนักสะสมอีกด้วย

ลดต้นทุนและแบ่งปันทรัพยากร

การทำ Collaboration Marketing ช่วยให้ทั้งสองแบรนด์สามารถแบ่งปันทรัพยากรและองค์ความรู้ระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี บุคลากร หรืองบประมาณในการทำการตลาด ทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากกว่าการดำเนินการเพียงแบรนด์ใดแบรนด์เดียว

เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

การร่วมมือกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในตลาด จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของเราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับตลาดด้วย

ตัวอย่าง Collaboration Marketing 

การจับมือกันระหว่าง McDonald’s และวงบอยแบนด์ระดับโลกจากประเทศเกาหลีใต้อย่าง BTS ในปี 2021 สร้างปรากฏการณ์ที่น่าจดจำด้วยการเปิดตัว “The BTS Meal” ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ประกอบด้วยชุดอาหารสุดพิเศษที่คัดสรรตามรสนิยมของสมาชิกวง พร้อมบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาเฉพาะ และซอสสูตรพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูยอดนิยมในเกาหลีใต้ แคมเปญนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายให้ McDonald’s สูงขึ้นถึง 20% ในสัปดาห์แรก แต่ยังช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มแฟนคลับ K-Pop และสร้างกระแสการพูดถึงบนโซเชียลมีเดียอย่างมหาศาลด้วย เรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก ๆ 

ขั้นตอนการทำ Collab Marketing ให้มีประสิทธิภาพที่สุด

การทำ CCollaboration Marketing ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการวางแผนที่รัดกุมและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพราะการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหลัก และนี่คือ 4 ขั้นตอนที่จะทำให้การทำ Collaboration Marketing มีประสิทธิภาพสูงที่สุดและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด

1. เลือกพาร์ทเนอร์ที่ใช่และเหมาะสม

การเลือกแบรนด์มาเป็นพันธมิตรในการทำ Collab Marketing อย่างเหมาะสมถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ โดยควรพิจารณาจากความสอดคล้องของวิสัยทัศน์ เป้าหมายทางธุรกิจ และกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังต้องศึกษาประวัติและชื่อเสียงของแบรนด์พาร์ทเนอร์อย่างละเอียด เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในอนาคตได้

2. กำหนดเป้าหมายและข้อตกลงให้ชัดเจน

ทั้งสองแบรนด์ควรร่วมกันกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ที่คาดหวังให้ชัดเจน พร้อมทั้งจัดทำข้อตกลงที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ การแบ่งผลประโยชน์ ระยะเวลาดำเนินการ และขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำงานร่วมกันและป้องกันการได้รับผลประโยชน์อย่างไม่ลงตัว

3. วางแผนการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน

ทั้งสองฝ่ายต้องจัดตั้งทีมงานหลัก เพื่อใช้ในการพูดคุยประสานงานและติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกำหนดช่องทางการสื่อสารและความถี่ในการประชุมร่วมกัน นอกจากนี้ควรมีระบบการรายงานผลที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถติดตามความคืบหน้าและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

4. ประเมินผลและวัดความสำเร็จ

กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ที่สามารถวัดผลได้จริง เช่น ยอดขาย การรับรู้แบรนด์ หรือการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งติดตามและวิเคราะห์ผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงกลยุทธ์และวางแผนการทำ Collaboration Marketing ในอนาคต

บทสรุป

จากข้อมูลในบทความนี้ เราจะเห็นได้ว่า Collaboration Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่แสดงให้เห็นว่าความร่วมมือระหว่างแบรนด์สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้ ด้วยการดึงจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยทำให้เกิดเป็นสินค้าหรือแคมเปญที่มีเอกลักษณ์พิเศษและแตกต่างจากท้องตลาด ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เท่าเทียมและน่าพึงพอใจร่วมกัน อย่างไรก็ตาม โอกาสในการประสบความสำเร็จจะสูงมากขึ้น ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีการประสานงานสื่อสารและวางแผนร่วมกันอย่างละเอียดทุกขั้นตอน หวังว่าคุณจะพบพันธมิตรที่จริงใจและจับมือกันไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ANGA เปิดรับสมัคร AMC รุ่น 2 (2025)

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องกับโครงการ AMC (ANGA Management Candidates) รุ่น 2 ที่ใคร ๆ หลายคนต่างรอคอย หลังจากที่โครงการ AMC รุ่น 1 ประสบความสำเร็จและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมาก  เพราะเป็นโครงการที
58

Demand Gen คือโฆษณารูปแบบใหม่ที่ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญโฆษณา Google Ads พร้อมเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าด้วย Demand Gen คือรูปแบบโฆษณาที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Discovery Ads โดยการดึงเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้งาน พร้
71

DuckDuckGo คือ Search Engine ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด

อย่างที่เรารู้กันว่า Google เป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แล้วรู้ไหมว่าใครคืออันดับสอง? คำตอบคือ DuckDuckGo นั่นเอง ซึ่ง DuckDuckGo คือ​ Search Engine ที่มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยท
72
th